กล้วยเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นอยู่ใต้ดิน และเป็นพืชที่มีอายุยาวนานหลายปี ไม่ชอบพื้นที่ที่มีน้ำขัง และสามารถขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อหรือการใช้เมล็ด
กล้วยอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารและโภชนาการ โดยใน 1 ผล จะให้พลังงานประมาณ 105 แคลอรี่ มีวิตามินบี 6 วิตามินซี โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส และใยอาหารสูง กล้วยดิบๆ หรือที่ไม่สุกดีนั้นจะมีแป้งอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วยให้รู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหาร แต่เมื่อเริ่มสุกงอม แป้งเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลแทน
หลายคนคงเคยได้ยินกันว่า กล้วยมีประโยชน์ทุกส่วนตั้งแต่ใบยันราก ซึ่งก็เป็นความจริง แถมยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีราคาถูกและหารับประทานได้ง่าย
กล้วยแต่ละชนิด นอกจากนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนูแล้ว ยังมีคุณประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป กล้วยแต่ละชนิดมีประโยชน์อะไรบ้าง ไปติดตามกัน
รู้ไหมว่า กล้วยหอมสามารถช่วยเลิกบุหรี่ได้ด้วย นั่นเพราะวิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียม และแมกนีเซียมที่มีอยู่มาก มีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการขาดสารนิโคตินได้อย่างรวดเร็ว หรือพูดง่ายๆ ว่าช่วยลดอาการเหวี่ยง อารมณ์หงุดหงิดและฉุนเฉียวจากการขาดบุหรี่ได้ดีนั่นเอง นอกจากนี้สาวๆ ที่ต้องเผชิญกับอาการก่อนมีประจำเดือน ซึ่งส่งผลให้รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ปวดท้อง ปวดหัว ก็สามารถรับประทานกล้วยหอมเพื่อช่วยลดอาการเหล่านี้ได้เช่นกัน
สำหรับเมนูสุดโปรดของหลายๆ คนอย่างกล้วยบวชชีนั้น ถ้าจะให้ดีก็ต้องใช้กล้วยน้ำว้าเท่านั้น และรู้หรือไม่ว่ากล้วยน้ำว้ายังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างล้นเหลือ โดยเฉพาะกล้วยแบบห่ามๆ และสุกๆ ที่มีธาตุเหล็กสูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง ทั้งยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี แคโรทีน ไนอาซีน และใยอาหารที่ช่วยในเรื่องการขับถ่าย
มีคุณสมบัติโดดเด่นในการช่วยลดริ้วรอย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิวและริ้วรอยต่างๆ รวมไปถึงความเสื่อมของเซลล์ ที่สำคัญยังมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้ายได้ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะส่วนผลเท่านั้น แต่ในหัวปลีก็ยังมีแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกระดูกและเนื้อเยื่อในร่างกายของเราด้วย
กล้วยชนิดนี้คุณสมบัติโดดเด่นคือ มีสารที่ชื่อว่าไซโตอินโดไซด์ 1, 2, 3, 4, 5 ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและท้องเฟ้อเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้ดี และยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียเอสเคอริเคีย โคไล (Escherichia coli) ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะและระบบย่อยอาหารบ่อยๆ ก็สามารถลองหามารับประทานกันดูได้
นอกจากนี้ยังพบว่าภายในกล้วยดิบนั้นมีสารแทนนินจำนวนมาก ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและโรคบิด รวมถึงช่วยลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยไม่พบสารต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารในกล้วยสุก แต่จะมีสรรพคุณช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารหรือผู้ที่มีอาการท้องผูกแทน
กล้วยสุกนั้นรับประทานง่าย ลื่นคอ และย่อยง่ายกว่าแบบดิบๆ ทำให้บางคนไม่เคี้ยว หรือเคี้ยวไม่ละเอียดก่อนกลืน ซึ่งถือเป็นวิธีการรับประทานที่ผิด เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วกล้วยจะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตมากถึง 25% หากเคี้ยวไม่ละเอียดจะส่งผลให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักในการย่อยมากขึ้น ทำให้ท้องอืดได้
ร่างกายสามารถย่อยกล้วยได้ง่ายและใช้เวลาย่อยเร็วกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ดังนั้นจึงนิยมนำกล้วย (เฉพาะเนื้อ นำไส้ออก) มาบดให้กับเด็กหรือทารกรับประทาน นอกจากนี้ยังจัดเป็นอาหารช่วยลดความอ้วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเมื่อรับประทานอย่างพอดีจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับความดันโลหิต รวมทั้งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดการเกิดมะเร็งลำไส้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก บำรุงหัวใจ บำรุงไต ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดตะคริวขณะออกกำลังกาย และช่วยเพิ่มความอึด ทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น
อย่างไรก็ตาม พึงระวังไว้ว่า การรับประทานกล้วยมากเกินไปก็อาจเป็นโทษได้เช่นกัน โดยจะทำให้ได้รับโพแทสเซียมสูงเกินไป จนขับออกทางไตไม่ทันและเป็นอันตรายต่อไตได้ ปริมาณที่แนะนำในการรับประทาน คือ 2 ผลต่อวัน
นอกจากข้อมูลทางโภชนาการของกล้วยชนิดต่างๆ ที่เรานำมาแบ่งปันแล้ว ยังมีกล้วยอีกหลายสายพันธุ์ในประเทศไทยที่มีประโยชน์อย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง เรียกได้ว่าผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้มีแค่ความอร่อย แต่ยังขึ้นชื่อว่าเป็น "อาหารสมุนไพร" อีกด้วย
คำตอบ: ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันนะคะ อาจจะเป็นเพราะมีโรคข้อเข่าเสื่อมอยู่ แล้วใช้งานเข่าหนักมากขึ้น หรือยกของหนักโดยไม่ถูกวิธี เลยทำให้มีอาการปวดเข่าค่ะ ถ้ายังไงลองพักการใช้งานเข่า หรือรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเเซตามอล หรือพวกยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ลองไปตรวจดูเพื่อความแน่ใจก็ได้ค่ะ
- ตอบโดย Nawaporn Le. (Dr.)
คำตอบ: อาการที่คนไข้เป็นอาจจะเกิดจากการแพ้สารที่ผิวหรือเปลือกผลไม้ค่ะ ซึ่งอาจเป็นการแพ้ยางพาราธรรมชาติ หรือเรียกว่า “ภูมิแพ้ลาเท็กซ์” แต่ปัจจุบันก็มีการศึกษาที่พบสารก่อภูมิแพ้หลายชนิดในกล้วย โดยที่พบเป็นส่วนใหญ่ คือ โปรตีนที่มีมวลโมเลกุลใหญ่ เมื่อทำการทดสอบอาการแพ้ทางผิวหนังด้วยโปรตีนทั้ง 2 ชนิดนี้กับผู้ที่มีประวัติแพ้กล้วย พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งให้ผลบวกต่อโปรตีนชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือทั้งสองชนิด ซึ่งหมายความว่าเกิดจากการแพ้โปรตีนดังกล่าวจริงค่ะ
ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าแพ้ยางธรรมชาติหรือไม่นั้น สามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบทางผิวหนัง ซึ่งทำโดยการหยดน้ำยาที่มีส่วนผสมของสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนัง หลังจากนั้นจะใช้เข็มขนาดเล็กสะกิดบริเวณผิวหลังที่หยดน้ำยา แล้วทิ้งไว้ 15-20 นาที ก่อนจะอ่านผล หากมีอาการแพ้ ผิวหนังบริเวณที่ทดสอบจะนูนแดงขึ้น หรืออาจใช้การทดสอบอีกวิธีหนึ่ง คือการตรวจเลือดหาแอนติบอดีจำเพาะ (Serum specific IgE) ที่มีปฏิกริยาต่อยางธรรมชาติ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่แพ้รุนแรงจะมีอาการหลายระบบ ซึ่งทุกรายจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ผลไม้บางชนิด อาจแพ้ยางธรรมชาติร่วมด้วย หมายความว่าคนที่แพ้ยางธรรมชาติจากผลไม้ชนิดหนึ่งๆ ต้องเฝ้าระวังการแพ้ข้ามกลุ่มต่อผลไม้บางชนิดด้วยเช่นกัน และแพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำจากยางพาราธรรมชาติด้วย เช่น หนังยางรัดผม รองเท้าแตะ สายนาฬิกา ถุงยางอนามัย เป็นต้น
นอกจากนั้นหากผู้ป่วยที่แพ้ยางธรรมชาติมีเหตุจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จะต้องแจ้งแก่แพทย์และพยาบาลให้ทราบถึงอาการแพ้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการใช้ผลิตภัณฑ์และวัสดุในการรักษาที่ทำมาจากยางธรรมชาติ เนื่องจากในโรงพยาบาลมักจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มียางเป็นส่วนประกอบ เช่น ถุงมือตรวจโรค จุกปิดขวดยาฉีด สายสวนปัสสาวะ เป็นต้น
- ตอบโดย ชมชนัท ทับเจริญ (พญ.)